แนะนำบทเรียน

 Argitech

เนื้อหาหัวข้อ 2.1

2.1 การคัดเลือกพื้นที่เพาะปลูก/ การตรวจสอบสภาพอากาศ

          กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน) ได้กล่าวถึงการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม คือ วิธีการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของภาคเกษตร โดยการวางแผนและจัดการให้พื้นที่เกษตรของประเทศที่มีความแตกต่างด้านดิน น้ำ และอากาศ ในแต่ละภูมิประเทศ ให้สามารถสร้างรายได้จากการผลิตสินค้าเกษตรที่เหมาะสมกับประเภท ชนิดพันธุ์ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตคุ้มค่าการลงทุน รวมทั้งการจัดการให้ปริมาณและคุณภาพสินค้าเกษตรมีความสมดุลกับความต้องการของตลาด

          โดยรวบรวมให้สามารถอ่านและใช้ประโยชน์ผ่านแอปพลิเคชันบน Smart phone ที่เรียกว่า Agri-Map คือ ชุดข้อมูลที่ประกอบไปด้วย ข้อมูลองค์ประกอบทางเคมีและชีวภาพของดิน ข้อมูลปริมาณน้ำ (น้ำฝน น้ำท่า น้ำผิวดิน) ข้อมูลสภาพอากาศ (อุณหภูมิความชื้น) ข้อมูลด้านพาณิชย์ (การตลาดโลจิสติกส์) เป็นต้น ซึ่งมีจะปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยทุก 1 ปี เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้อย่างกว้างขวางเพื่อช่วยในการวิเคราะห์และประกอบการตัดสินใจวางแผนการผลิต

          ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงสร้างและพัฒนา Agri-Map เพื่อเป็นเครื่องมือที่เป็นชุดข้อมูลให้เกษตรกรใช้ประโยชน์เพื่อประกอบการตัดสินใจวางแผนการผลิต การตลาด และเสริมสร้างความสำเร็จในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรมในภาพรวมของประเทศ และจัดสรรทรัพยากรที่ดินและน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้น

          เกษตรกรสามารถการคัดเลือกพื้นที่เพาะปลูก/ การตรวจสอบสภาพอากาศ โดยการโหลดแอปพลิเคชันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้

1)      "ฝนหลวง" Fonluang

โครงการฝนหลวง เป็นหนึ่งในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ภูมิพลอดุลยเดช ในการสร้าง "ฝนหลวง" เพื่อบรรเทาปัญหาความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำทางการเกษตร เป็นความร่วมมือระหว่างกรมฝนหลวงและการบินเกษตร และศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแอนดรอยด์ และ IOS

นอกจากนี้สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับคลังข้อมูลน้ำและภูมิอากาศแห่งชาติ รวบรวบข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการติดตามและคาดการณ์สภาพอากาศของประเทศไทย เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงและความแปรปรวนของสภาพอากาศ ประกอบได้ด้วยข้อมูล 4 กลุ่ม ดังนี้

กลุ่มที่ 1 ข้อมูลสำหรับการติดตามและคาดการณ์สถานการณ์พายุ และสภาพเมฆฝน ณ ปัจจุบัน

กลุ่มที่ 2 ข้อมูลแผนภาพการกระจายตัวของอุณหภูมิ ความชื้น และความกดอากาศ

กลุ่มที่ 3 ข้อมูลสำหรับการติดตามและคาดการณ์สภาพอากาศจากค่าความสูงน้ำทะเลและอุณหภูมิผิวน้ำทะเล

กลุ่มที่ 4 ข้อมูลสำหรับการคาดการณ์ฝนล่วงหน้า 7 วัน

ข้อมูลเหล่านี้เกษตรกรสามารถเข้าเว็บไซต์ http://www.thaiwater.net/v3/weather เพื่อติดตมสภาพอากาศเพื่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ

การคัดเลือกพื้นที่เพาะปลูก/ การตรวจสอบสภาพอากาศ



เนื้อหาหัวข้อ 2.2

2.2 การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ก่อนเพาะปลูก

          ตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ การดูวันที่ผลิต วันที่หมดอายุ เพื่อควบคุมอัตราการงอกของผลผลิต

          เมล็ดพันธุ์พืชเป็นตัวแปรสำคัญในการผลิตสินค้าทางการเกษตร ในการคัดเลือกพันธุ์ คือ การปรับปรุงประชากรหรือยกระดับความสามารถหรือคุณลักษณะต่างๆ ของพืชให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม เช่น ให้ผลผลิตสูงขึ้น ได้มีแนวทางการในการคัดเลือกพันธุ์ ประกอบด้วย คัดเลือกพันธุ์ผักที่มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งส่งผลต่อการเจริญเติบโตและความสมบูรณ์ของผลผลิต คัดเลือกพันธุ์ผักที่ให้ผลผลิตสูง คัดเลือกพันธุ์ผักที่มีความทนทานต่อโรคและศัตรูพืชในท้องถิ่นนั้น และคัดเลือกพันธุ์ผักที่ตรงกับความต้องการของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค

          อย่างไรก็ตามเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์ที่เก็บเกี่ยวแล้วจะมีความชื้นในระดับที่ค่อนข้างสูง (35-40%) หากต้องการเก็บเพื่อใช้ในฤดูปลูกต่อไปต้องลดความชื้นในเมล็ดให้ต่ำกว่า 10% จะช่วยให้เก็บเมล็ดพันธุ์ได้นาน 1-3 ปี โดยขึ้นอยู่กับพืชผักแต่ละชนิดและวิธีการเก็บที่ถูกต้อง สำหรับการลดความชื้นในเมล็ดพันธุ์นั้น ไม่ควรให้ถูกแสงแดดโดยตรง ควรตากเมล็ดพันธุ์ในโรงเรือน หรือใส่ถุงไนล่อนผึ่งลม 3-4 วัน แล้วบรรจุลงขวดแก้วที่มีฝาปิด เก็บในตู้เย็น ทั้งนี้เกษตรกรสามารถจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชได้จากรมการค้าข้าว ศูนย์เมล็ดพันธุ์ของแต่ละจังหวัด

          แหล่งจัดซื้อเมล็ดพันธ์ที่มีความน่าเชื่อถือ และเว็บไซต์หน่วยงานรัฐที่แนะนำ

          หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเมล็ดพันธุ์พืช ได้แก่

1)      กรมการข้าว

          ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวทั่วประเทศ สามารถเข้าไปดูข้อมูลศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวทั้ง 6 ภูมิภาคและรายจังหวัดได้ที่เว็บไซต์ http://rbr-rsc.ricethailand.go.th/index.php/department

2)      กรมส่งเสริมการเกษตร

          กองขยายพันธุ์พืช กรมส่งเสริมการเกษตร สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 02-561-0127 เกษตรสามารถชมวีดีโอเกี่ยวกับข้อมูลกองขยายพันธุ์พืชเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?time_continue=10&v=C_wMBU5n2FM

3)      กรมปศุสัตว์

          สำนักพัฒนาอาหารสัตว์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์แห่งประเทศไทย โทรศัพท์ 02-501-1147

4)      สมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย (เอกชน)

          เกษตรกรสามารถค้นหาฐานข้อมูลรายชื่อบริษัทจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ได้ที่เว็บไซต์ https://www.thasta.com/index.php/seed-company-directory

การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ก่อนเพาะปลูก

เนื้อหาหัวข้อ 2.3

 Bookmark this page

2.3 การเพาะปลูกแบบโรงเรือน และแบบเปิด


ระบบให้น้ำแบบอัตโนมัติ


          ระบบน้ำหยด (Drip irrigation) เป็นระบบการให้น้ำที่มีประสิทธิภาพสูง โดยระบบน้ำหยดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้น้ำและเพิ่มผลผลิตในพืชหลายชนิด แต่การใช้ระบบน้ำหยดให้ถูกต้องตามหลักวิชาการทำได้ยากโดยเกษตรกร ในการควบคุมความชื้นในดินให้เหมาะสมและไม่ให้มีการสูญเสียน้ำโดยเปล่าประโยชน์นวัตกรรมนี้ได้นำเอาเทคโนโลยีเครือข่ายเซ็นเซอร์ไร้สาย (Wireless sensor network) มาประยุกต์ใช้ เพื่อการตรวจวัดความชื้นในดิน และนำเทคโนโลยี Internet of Things เข้ามาใช้ในการควบคุมการให้น้ำ สำหรับเกษตรกรที่ใช้ระบบน้ำหยดเพื่อการผลิตพืช และมีระบบเซ็นเซอร์ไร้สายวัดความชื้นดินและส่งข้อมูลผ่านระบบคลาวด์เซอร์วิสไปยังอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ผ่านระบบการสื่อสารแบบไร้สาย หรือ 3G/4G ซึ่งภายในอุปกรณ์เคลื่อนที่จะมีแอปพลิเคชันทำการประมวลผล เมื่อความชื้นถึงจุดวิกฤต ผู้ควบคุมแปลงสามารถสั่งการให้ปั้มน้ำและโซลินอยด์วาล์วทำงานผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือสามารถตั้งให้การทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติในการให้น้ำไปยังแปลงปลูกพืช นวัตกรรมนี้สามารถควบคุมการให้น้ำได้ง่ายและแม่นยำตรงตามความต้องการน้ำของพืชทำให้ประหยัดน้ำ พร้อมทั้งเพิ่มผลผลิต คุณภาพของผลผลิตพืช ช่วยลดแรงงาน ประหยัดการใช้น้ำ และเพิ่มรายได้สำหรับผู้ใช้


การเตรียมพื้นที่เพาะปลูก


          ความเป็นกรด-เบส หรือค่าพีเอช (pH) เป็นค่าที่บอกปริมาณของกรดที่ปนอยู่ในน้ำ ค่าพีเอชมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยาเคมีส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในน้ำ น้ำบริสุทธิ์ที่ปราศจากสิ่งปนเปื้อน (และต้องไม่สัมผัสกับอากาศด้วย) จะมีค่าพีเอชเท่ากับ 7 น้ำซึ่งมีสิ่งเจือปนอยู่ด้วยอาจจะมีค่าพีเอชเท่ากับ 7 ได้ ถ้าน้ำนั้นมีกรดและเบสอยู่ในปริมาณที่เท่ากันและสมดุลกัน ถ้าน้ำมีค่าพีเอชต่ำกว่า 7 แสดงว่า น้ำนั้นมีปริมาณกรดอยู่มากเกินจุดที่สมดุล แต่ถ้ามีค่าพีเอชมากกว่า 7 แสดงว่าในน้ำนั้นมีเบสมากเกินจุดที่สมดุล


          โดยธรรมชาติแล้ว น้ำฝนที่ไม่มีสิ่งปนเปื้อนจะมีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 5 – 6 ดังนั้นแม้ว่าน้ำฝนที่ตกในบริเวณที่มีภาวะมลพิษน้อยที่สุดบนพื้นโลก ก็ยังคงมีส่วนเป็นกรดอยู่นั่นเอง ทั้งนี้เนื่องจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศสามารถละลายได้ในหยดน้ำฝน น้ำกลั่นที่สัมผัสกับอากาศก็จะมีค่าพีเอชประมาณ 5 – 6 เช่นกัน ฝนกรดส่วนใหญ่มักจะมีค่าพีเอชประมาณ 4 แต่ถ้าเป็นหมอกในเขตเมืองอาจจะมีค่าพีเอชต่ำกว่า 2 ก็ได้ น้ำในทะเลสาบและลำธารส่วนใหญ่จะมีค่าพีเอชอยู่ระหว่าง 6.5 – 8.5 เราอาจจะพบน้ำซึ่งมีสภาพเป็นกรดเองโดยธรรมชาติในบริเวณที่มีสินแร่บางชนิดอยู่ในดิน (เช่น ซัลไฟด์) การทำเหมืองแร่อาจจะมีสินแร่บางอย่างที่ทำให้เกิดกรดถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำเช่นเดียวกัน น้ำที่มีสภาพเป็นเบสเองโดยธรรมชาติมักจะพบเฉพาะในดินที่มีสินแร่บางชนิดปนอยู่มาก เช่น ปูนขาว หรือหินปูน


          ค่าพีเอชในน้ำจะมีอิทธิพลสูงต่อสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในแหล่งน้ำนั้น กบ และสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก มักจะไวต่อน้ำที่มีค่าพีเอชต่ำๆ แมลง สัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก และปลา จะไม่สามารถดำรงชีวิตในแหล่งน้ำที่น้ำมีค่าพีเอชต่ำกว่า 4 ได้การตรวจวัดค่าพีเอชสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ใช้กระดาษวัดค่าพีเอช (pH Paper) ปากกาวัดค่าพีเอช (pH Pen) เครื่องมือวัดค่าพีเอช (pH Meter) ซึ่งในกิจกรรมนี้จะตรวจวัดค่าพีเอช โดยใช้ปากกาวัดค่าพีเอช และเครื่องวัดค่าพีเอช ซึ่งจะแสดงค่าที่ถูกต้องแม่นยำมากกว่าการใช้กระดาษวัดค่าพีเอช


การตรวจสอบ ดิน น้ำ แร่ธาตุ ต่างๆในดิน


          เกษตรกรสามารถตรวจสอบ ดิน น้ำ แร่ธาตุ ต่างๆในดิน โดยการโหลดแอปพลิเคชันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้


1)     รายงานผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ ปุ๋ย




              แอปพลิเคชันสำหรับค้นหาผลการวิเคราะห์ตัวอย่างดิน น้ำ ปุ๋ย ที่เกษตรกรส่งให้กรมพัฒนาที่ดินตรวจสอบ เกษตรกรทั่วไปสามารถใช้ข้อมูลผลการวิเคราะห์ดินและคำแนะนำในการปลูกพืชของพื้นที่ใกล้เคียงเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการปรับปรุงบำรุงดินและใช้ประโยชน์ที่ดินได้ ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบคุณสมบัติของดินในสถานที่ต่างๆ และข้อเสนอแนะในการปรับปรุงบำรุงดินอย่างเหมาะสมต่อการปลูกพืชชนิดต่างๆ เพื่อให้ได้ผลผลิตสูงสุด แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะแอนดรอยด์


2)     ข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรดินรายจังหวัด




แอปพลิเคชันที่บูรณาการข้อมูลของกรมพัฒนาที่ดินมีอยู่ ข้อมูลอยู่ในรูปแบบ GIS มาจัดทำเป็นแผนที่ซึ่งสามารถสืบค้นข้อมูลได้ถึงระดับตำบล สามารถนำข้อมูลประกอบการตัดสินใจ วางแผนการเกษตรหรือการจัดการด้านต่าง ๆ นำไปสู่การพัฒนาและการจัดการอย่างยั่งยืนต่อไป แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะแอนดรอยด์


ติดตั้ง sensor


          เซนเซอร์ที่สามารถใช้งานร่วมกับการทำเกษตรกรรมความแม่นยำสูงหรือเกษตรอัจฉริยะนั้นถูกจำแนกออกเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละประเภทมีการกำหนดความสามารถในการแสดงผลเพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ดังต่อไปนี้


1)  เซนเซอร์วัดสภาวะแวดล้อมโดยรอบและสภาพอากาศ


          เซนเซอร์ในกลุ่มนี้จะทำหน้าที่ตรวจวัดสภาพอากาศทั้งในรูปแบบที่เป็นวงกว้าง (ข้อมูลจากดาวเทียมอากาศ หรือ การวัดแบบเมโสไคลเมท) และที่เป็นพื้นที่จำเพาะ (การตรวจวัดแบบไมโครไคลเมท) ซึ่งอาจจะทำการวัดอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ ปริมาณแสงแดด ปริมาณน้ำฝน ความเร็วลม ทิศทางลม และ ปริมาณก๊าซพื้นฐานที่จำเป็นต่อพืชนั้นๆ


2)  เซนเซอร์ตรวจวัดคุณสมบัติของวัสดุปลูกและสภาพดินที่ใช้สำหรับเพาะปลูก


          เป็นเซนเซอร์ในกลุ่มที่สำคัญมากสำหรับการทำเกษตรกรรมความแม่นยำสูง เนื่องจากเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อพืชโดยตรง ซึ่งอาจจะมีการวัดค่าต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้นในวัสดุปลูกหรือในดิน เซนเซอร์ตรวจวัดปริมาณแร่ธาตุ รวมไปถึงการวัดความโปร่งของดินที่ส่งผลต่อการยืดตัวของรากในดิน


    3)    เซนเซอร์ตรวจวัดการได้รับค่าพารามิเตอร์ต่างๆ


       ของต้นพืชอันมีลักษณะจำเพาะที่จำเป็นต่อการทำการเกษตร เซนเซอร์ในส่วนนี้อาจมีการจำลองการทำงานให้ใกล้เคียงกับลักษณะขององค์ประกอบพืชเช่น เซนเซอร์ที่มีลักษณะคล้ายใบพืช เพื่อตรวจวัดความเปียกของใบ


    4)   เซนเซอร์ตรวจสอบคุณภาพและปริมาณของผลผลิตในการทำการเกษตร


          เซนเซอร์อีกหนึ่งกลุ่มที่ช่วยลดภาระให้กับเกษตรกรในเรื่องของการตรวจสอบผลผลิต ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาในการเก็บเกี่ยว หรือตรวจวัดปริมาณของผลผลิต เซนเซอร์กลุ่มนี้มักมีราคาสูงและมีการออกแบบจำเพาะตามชนิดของพืช ไม่ว่าจะเป็นการใช้กล้องทำอิมเมจโปรเซสซึ่งเพื่อทำ Yield Mapping หรือการใช้จมูกอิเล็กทรอนิกส์ในการตรวจวัดความสุขของพืชผล

การเพาะปลูกแบบโรงเรือน และแบบเปิด

 

เนื้อหาหัวข้อ 2.4

2.4 ควบคุมคุณภาพผลผลิต และติดตามดูแลการเจริญเติบโตของพืช

          ปัจจุบันอุตสาหกรรมการเกษตร ได้มีการนำอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์ มาช่วยทำให้การผลิตเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น รวมทั้งได้ใช้เซ็นเซอร์มาช่วยทำให้เกิดระบบอัจฉริยะที่สามารถประเมินผลและควบคุมได้ด้วยตนเอง ด้วยระบบการรับ-ส่งข้อมูลต่างๆ จากทุกสิ่งที่เชื่อมต่อเข้าหากัน ที่เรียกว่า IOT (Internet Of Things)

          เทคโนโลยี IOT (Internet Of Things) เช่น สมาร์ท ฟาร์ม (Smart Farm) ฟาร์มอัจฉริยะ (Intelligent Farming, Autonomous Farming) เกษตรกรรมความแม่นยําสูง (Precision Farming, Precision Agriculture) รวมไปถึง การบริหารจัดการนํ้า (Water Resources Management) ทางด้านการเกษตร ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้ ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลักๆ ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และเซ็นเซอร์ (ซึ่งถือเป็น Hardware) การจัดส่งและรับข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นแบบมีสาย (LAN) หรือไร้สาย (Wireless LAN) และการประเมินผลด้วยโปรแกรมหรือระบบงาน (Software or Application)

          ในปัจจุบัน IoT ถูกนำไปประยุกต์ใช้กับหลายสิ่งหลายอย่างทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ภาคเกษตรกรรม เพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารจัดการฟาร์มอย่างมีประสิทธิภาพโดย ใช้แรงงานคนให้น้อยที่สุด เป็นที่มาของคำว่า เกษตรอัจริยะ หรือสมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) ซึ่งได้นำเทคโนโลยี RFID Sensors เข้ามาใช้ในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ทางการเกษตรต่างๆ เพื่อให้อุปกรณ์เหล่านั้น สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ควบคุมหลักได้ เช่น การใช้เซ็นเซอร์วัดข้อมูลต่างๆ อย่าง เซ็นเซอร์ตรวจอากาศ (Weather Station) เซ็นเซอร์วัดดิน (Soil Sensor) เซ็นเซอร์ตรวจโรคพืช (Plant Disease Sensor) เซ็นเซอร์ตรวจวัดผลผลิต (Yield Monitoring Sensor) เป็นต้น เซ็นเซอร์เหล่านี้สามารถนำมาวางเป็นระบบเครือข่ายไร้สาย (Wireless Sensor Network) โดยนำไปติดตั้งหรือปล่อยในพื้นที่ไร่นา เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ได้แก่ ความชื้นในดิน อุณหภูมิ ปริมาณแสง และสารเคมี เพื่อที่จะทราบว่าควรมีการให้ปุ๋ย น้ำ ยาฆ่าแมลง เมื่อไหร่ และปริมาณเท่าไหร่ตามสภาพความแตก ต่างของพื้นที่ ซึ่งการให้ปุ๋ย น้ำ และยาฆ่าแมลงก็จะใช้เทคโนโลยีการให้ปุ๋ย/น้ำ/ยาฆ่าแมลง หรือที่เรียกว่า Variable Rate Technology (VRT) โดยเทคโนโลยีเหล่านี้จะใช้ระบบเซ็นเซอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลว่าแปลงขนาดเท่าไหร่ควรจะมีการให้ปุ๋ย น้ำ และย่าฆ่าแมลงในปริมาณเท่าไหร่ในช่วงเวลาใด ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านั้นจะใช้ร่วมกับเทคโนโลยี Global Positioning System (GPS) นั่นเอง

ตัวอย่างการควบคุมคุณภาพ ด้วยปุ๋ย สารเคมี ออแกนิก ฯลฯ เช่น

          ในกรณี Smart farm ในไร่อ้อย ที่มีระบบท่อน้ำหยดใต้ดินที่มีการเฝ้าระวังแบบเรียลไทม์ (Real-time Irrigation Monitoring  System) จะมี Pressure Sensor ติดตั้งในท่อน้ำหยด เพื่อคอยตรวจสอบความสมบูรณ์ของท่อว่าไม่มีการรั่วไหลในท่อตั้งแต่ต้นทางจน ถึงปลายท่อ โดยมีการให้ปุ๋ยผ่านระบบน้ำหยดนี้ ซึ่งควบคุมระบบจ่ายน้ำและปุ๋ย ผ่านเซ็นเซอร์วัด N-P-K  ทำให้การใช้ทรัพยากรน้ำและสารเคมี (ปุ๋ย) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การจ่ายน้ำนั้นยังต้องได้ข้อมูลจากสภาพความชื้นในอากาศและในดิน ผ่านการส่งข้อมูลจาก เซ็นเซอร์วัดความชื้น (Humidity Sensor) ที่ถูกติดตั้งเหนือดินและใต้ดิน ระบบ Smart Farm นั้นได้รับพลังงานไฟฟ้าจากระบบ Solar Cell Panels หรือ แผงโซล่าร์เซลล์  ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับระบบสื่อสาร ระบบเซ็นเซอร์ ปั๊มน้ำและระบบกลไกต่างๆ ทั้งหมด เพื่อให้ประสิทธิผลในการรับแสงดีที่สุด  Solar Tracker Sensor ถูกนำมาใช้ในการปรับทิศทางของ Solar Cell Panels ให้ได้รับแสงอาทิตย์ได้มากที่สุดตลอดทั้งวัน 

          เกษตรกรสามารถการควบคุมคุณภาพ ด้วยปุ๋ย สารเคมี ออแกนิก ฯลฯ โดยการโหลดแอปพลิเคชันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้

1)      ปุ๋ยรายแปลง

              แอปพลิเคชันนี้ จัดทำโดยกรมพัฒนาที่ดิน เป็นโปรแกรมปุ๋ยรายแปลง ช่วยเกษตรกรสามารถตัดสินใจในการจัดการดิน สามารถติดตามค่าวิเคราะห์ของดินตามพื้นที่ พร้อมทั้งแสดงการจัดการดินเบื้องต้น รวมถึงชนิด ปริมาณ และเวลาในการใส่ปุ๋ย แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแอนดรอยด์ และ IOS

2)      สารสนเทศดินและข้อมูลการใช้ปุ๋ย

            แอปพลิเคชันนี้ จัดทำโดยกรมพัฒนาที่ดิน เป็นระบบที่แสดงข้อมูลกลุ่มชุดดิน และข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินทั้งประเทศ สามารถสืบค้นข้อมูลในรูปแบบแผนที่ ได้ทั้ง แผนที่ฐาน แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ แผนที่ Google Mapเมื่อคลิกเลือกพื้นที่ที่ต้องการ ระบบจะแสดงข้อมูลสถานที่ ตำบล อำเภอ จังหวัด และจุดพิกัด ณ ตำแหน่งที่เลือก พร้อมทั้งแสดงข้อมูลกลุ่มชุดดิน แสดงข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน แนวทางการจัดการดินเพื่อการปลูกพืช  แสดงข้อมูลความเหมาะสมของดินในการปลูกพืช โดยระบบจะแสดงสัญลักษณ์เขียว (เหมาะสมมาก) เหลือง (ไม่ค่อยเหมาะสม) แดง (ไม่เหมาะสม) เมื่อคลิกเลือกพืชที่ต้องการ จะแสดงแนวทางการจัดการเพื่อเพิ่มผลผลิต คำแนะนำปุ๋ยสำหรับการกลุ่มชุดดิน ค่าวิเคราะห์ดินพื้นฐาน คำแนะนำปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน  เกษตรกร ประชาชน ภาครัฐและเอกชน สามารถค้นหาข้อมูลสารสนเทศดินและข้อมูลการใช้ปุ๋ย ได้ด้วยตนเอง แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแอนดรอยด์ และ IOS

การติดตามดูแลการเจริญเติบโต ความผิดปกติของพืช

          เกษตรกรสามารถติดตามดูแลการเจริญเติมโต ความผิดปกติของพืชได้ โดยการโหลดแอปพลิเคชันของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดังนี้

1)  Protect Plants

          แอปพลิเคชันให้ความรู้เกี่ยวกับโรคพืขและศัตรูพืช พร้อมทั้งมีฟังค์ชั่นเด่นที่คอยติดตามการระบาดศัตรูพืช เพื่อให้เกษตรกรป้องกันได้ทันท่วงที แอปพลิเคชันประกอบไปด้วยฟังค์ชันหลัก 6 หมวด ได้แก่

§  ข่าวสาร องค์ความรู้ด้านอารักขาพืช

§  วินิจฉัยศัตรูพืชเบื้องต้น

§  วินิจฉัยตามชนิดพืช

§  พยากรณ์เตือนการระบาด

§  พยากรณ์สภาพอากาศ

แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งแอนดรอยด์ และ IOS

2)  Insect Shot และ Insert Server

          แอปพลิเคชันเพิ่มความสะดวกรวดเร็วจากการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในแปลงนาแทนการสุ่มนับด้วยคน โดยเมื่อถ่ายภาพเสร็จก็จะส่งภาพไปที่เครื่องแม่ข่ายก็จะประมวลผลนับจำนวนเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลให้ทันที อย่างไรก็ตาม ในอนาคตยังมีโครงการที่จะพัฒนาโปรแกรมตรวจนับปริมาณเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่เข้าไปในกับดักแสงไฟ เพื่อลดขั้นตอนการนับด้วยแรงงานคนอีกด้วย แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะแอนดรอยด์

1)      Rice Pest Monitoring

         แอปพลิเคชันเกี่ยวกับระบบสนับสนุนการพยากรณ์และเตือนภัยของกรมการข้าว เพื่อแจ้งใช้ในการติดตาม เฝ้าระวัง และเตือนภัยล่วงหน้าก่อนที่จะเกิดการระบาด (Ricepest monitoring) ของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและโรคไหม้ และเป็นเครื่องมือและนำไปประยุกต์ใช้สนับสนุนการปฏิบัติงานให้กับเกษตรกรในการติดตามเฝ้าระวังในพื้นที่ และเจ้าหน้าที่ ได้แก่ เจ้าหน้าที่กรมการข้าว นักวิจัย นักวิชาการ กลุ่ม Smart farmer และกลุ่ม Smart officer แอปพลิเคชันนี้สามารถดาวน์โหลดได้เฉพาะแอนดรอยด์

ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวที่เหมาะสม การจำแนกผักตามอายุการเก็บเกี่ยว ดังนี้

1)  ผักอายุสั้น ( น้อยกว่า 2 เดือน ) ได้แก่ ผักชีผักกาดหอม ผักกาดเขียว กวางตุ้ง คะน้า ผักบุ้งจีน ผักกาดหัว ผักกาดขาว แตงกวา ข้าวโพดฝักอ่อน ปวยเหล็ง ผักโขม

2)  ผักอายุปานกลาง ( 2 – 5 เดือน ) ได้แก่ กะหล่ำปลี ผักกาดขาวปลี บร็อคโคลี่ กะหล่ำดอก ถั่วฝักยาว ถั่วแขก หอมหัวใหญ่มะเขือเทศ พริก แตงโม มะระ บวบ ฟักทอง ข้าวโพดหวาน มันฝรั่ง มันเทศ

3)  ผักยืนต้น ( มากกว่า 1 ปี ) ได้แก่ กุยช่าย ผักหวาน มะเขือ ชะอม สะตอ ชะพลูโหระพา กะเพรา ถั่วพู ตะไคร้ แมงลัก กระชาย ขิง หน่อไม้ฝรั่ง ข่า ขมิ้น

          ในส่วนของการประกันพืชผลในระยะการเพาะปลูก ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมเรื่อง การพัฒนาระบบการประกันภัยพืชผลการเกษตรของประเทศไทยระหว่างส่วนงานต่างๆ ประกอบด้วย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (สศป.) ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สมาคมประกันวินาศภัยไทย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส)  ปัจจุบัน ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาคมประกันภัย อยู่ระหว่างทำงานร่วมกัน โดยพืชไร่ เช่น ข้าวโพด จะคิดเบี้ยประกันที่ 70-90 บาท ต่อไร่ เมื่อเสียหายจะคุ้มครอง ที่ 1,480 บาท/ไร่ ส่วนโคนมเบี้ยประกัน จะอยู่ที่ 660 บาทต่อตัว และเมื่อเสียหายจะคุ้มครองที่ตัวละ 18000-20000 บาท

          สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้กำหนดให้การประกันภัยพืชผล เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่ใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดระบบการเงิน เพื่อคุ้มครองต้นทุนการผลิตเมื่อเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ คุ้มครองปริมาณผลผลิตที่ลดต่ำลง และคุ้มครองราคาผลผลิตที่ผันผวน ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพทางรายได้และความมั่นคงในอาชีพให้แก่เกษตรกร การประกันภัยพืชผล มีกรมธรรม์สำหรับพืชหลัก 2 ชนิด คือ ข้าว และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 

ควบคุมคุณภาพผลผลิต และติดตามดูแลการเจริญเติบโตของพืช



แนะนำบทเรียน แนะนำบทเรียน Reviewed by Uthid on มกราคม 25, 2565 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ARduino ep2

  CH1 เริ่มต้นกับ depaAgBoard   Bookmark this page บทที่1 เริ่มต้นกับ depaAg Board แนะนำพื้นฐาน โมดูล ESP32 บน depaAg Board  สวัสดีครับ วันน...

ขับเคลื่อนโดย Blogger.